วันเสาร์ที่ 19 กรกฎาคม พ.ศ. 2557

มาทำความเข้าใจเรื่องแบตเตอรี่รถยนต์กัน

                  ทุกคนเคยสงสัยกันไหมว่ารถยนต์ที่เราๆใช้กันอยู่ทุกวันนั้น นอกจากใช้น้ำมันเป็นตัวขับเคลื่อนรถยนต์กันแล้วนั้น แล้วรถที่เราใช้กันนั้นมันดึงไฟฟ้าจากไหนมาใช้กับแอร์ หรือวิทยุภายในห้องเครื่องผู้โดยสารกันแน่ ว่าแล้ววันนี้ผมจะมาเฉลยคำตอบนี้ให้แก่ทุกคนที่เคยสงสัยในคำถามนี้กันครับ

                 แบตเตอรี่รถยนต์ทำหน้าที่ ป้อนกระแสไฟฟ้าให้อุปกรณ์ต่างๆของเครื่องยนต์เพื่อให้ทำงานได้ เช่นการสตาร์ของมอเตอร์โดยใช้ระบบการจุดระเบิดในขณะที่สตาร์รถยนต์นั้นเอง นตอกจากนี้ยังทำหน้าที่ป้อนพลังงานให้กับอุปกรณ์อำนวยความสะดวกหลายๆอย่างด้วย เช่นระบบไฟส่องสว่าง หรือวิทยุในรถยนต์เป็นต้น
 สรุปแบตเตอรรี่รถยนต์นั้นไม่ใช่แหล่งผลิตพลังงานไฟฟ้า แต่เป็นตัวเก็บไฟสำรองเพื่อนำไปจ่ายให้แก่อุปกรณ์ต่างๆของเครื่องยนต์นั้นเอง

                แบตเตอรี่รถยนต์สามารถแบ่งได้ 2 ชนิดคือ
               1.แบบเปียก; เป็นที่นิยมใช้เป็นอย่างจำนวนมาก โดยสามารถแบ่งย่อยออกได้อีก 2 แบบคือแบบที่ต้องเติมน้ำกลั่นและต้องดูแลบ่อยๆอย่างน้อยเดือนละครั้ง หรืออีกแบบคือไม่ต้องดูแลบ่อย (Maintenance Free) ใช้น้ำกลั่นน้อยโดยทั้ง 2 แบบจะมีฝาเปิด-ปิดสำหรับเติมน้ำกลั่น โดยในแบบแรกนั้นจะมีอายุการใช้งานโดยประมาณปีครึ่งหรือสองปีแต่ไม่ควรเกิน 3 ปี (ขึ้นอยู่กับสภาพการใช้งานและดูและรักษา)
               2.แบบแห้ง;ไม่ต้องเติมน้ำกลั่น มีความทนทานมีอายุการใช้งานที่ยาวกว่าและมีราคาแพงกว่า  แบตฯชนิดนี้จะไม่มีฝาเปิด-ปิดสำหรับใช้ในการเติมน้ำกลั่น หรือไม่ก็มักจะถูกซีลทับฝามาเลย แต่จะมีตาแมวไว้สำหรับไว้คอยตรวจเช็คระดับน้ำกรดและไฟชาร์จ

                 การเปลี่ยนแบตเตอรี่รถยนต์
                - ถ้ามีการการติดตั้งอุปกรณ์อะไรเพิ่มเติม เช่นระบบเครื่องเสียง หรืออุปกรณ์อำนวยอื่นๆก็ควรจะเพิ่มขนาดของแอมป์ให้สูงขึ้นด้วย แต่ต้องอย่าลืมคำนึงเรื่องที่ว่าแบดเตอรี่ที่มีขนาดของแอมป์สูงขึ้นมักจะมีขนาดของแบตฯใหญ่ขึ้นด้วยดังนั้นอย่าลืมดูเรื่องของฐานแบตฯเดิมของรถตนว่าสามารถรองรับแบตฯอันใหม่ได้หรือไม่

                คำเตือน;เวลาเปลี่ยนแบตเตอรี่นั้นไม่ควรจะลดขนาดของแอมป์ลงโดยเด็ดขาด  แต่สามารถเลือกแบตเตอรี่ให้มีขนาดแอมป์สูงขึ้นได้ประมาณ 10-30 แอมป์







วันพุธที่ 16 กรกฎาคม พ.ศ. 2557

ความรู้เรื่องน้ำมันเครื่อง

       หลังจากทุกท่านได้ลองศึกษาเรื่องความสำคัญของยางรถยนต์และเรื่องช่วงล่างของรถยนต์ว่ามีความสำคัญต่อคนขับและเพื่อนนั่งร่วมทางอย่างไรไปบ้างแล้ว วันนี้เรามาทำความเข้าใจเกี่ยวกับเรื่องของน้ำมันเครื่องกันบ้างดีกว่าครับว่าน้ำมันเครื่องมีกี่แบบ  ควรเลือกอย่างไรให้เหมาะสม  เมื่อไหร่ควรจะเปลี่ยนน้ำมันเครื่อง และมีวันหมดอายุหรือไม่กันครับ

น้ำมันเครื่องคืออะไร และมีกี่แบบ
               น้ำมันหล่อลื่นเครื่องยนต์ หรือเรียกกันโดยทั่วไปว่า น้ำมันหล่อลื่น หรือ น้ำมันเครื่อง ประกอบไปด้วย 2 ส่วนที่สำคัญคือ น้ำมันพื้นฐาน และสารเพิ่มคุณภาพ น้ำมันเครื่องมีหน้าที่ลดแรงเสียดทานของวัตถุชิ้นที่เสียดสีกัน ระบายความร้อนของเครื่องยนต์ และเคลือบช่องว่างระหว่างผิวสัมผัส ทำความสะอาดเขม่าและเศษโลหะภายในเครื่องยนต์ ป้องกันการกัดกร่อนจากสนิมและกรดต่างๆ และป้องกันกำลังอัดของเครื่องยนต์รั่วไหล เป็นต้น นอกจากนี้น้ำมันเครื่องยังแบ่งได้เป็น3แบบดังนี้

               1. น้ำมันเครื่องธรรมดา (Synthetic) ผลิตจากน้ำมันหล่อลื่นที่กลั่นจากน้ำมันปิโตรเลียม ใช้งานได้ประมาณ 3,000-5,000 กม. ข้อดีของน้ำมันชนิดนี้คือ มีราคาถูก เหมาะกับเครื่องที่หลวม (เครื่องที่มีควันขาวออกมาจากท่อไอเสียนั้นเองครับ) ข้อเสียคือใช้ได้ระยะทางน้อย และเปลืองน้ำมันเชื้อเพลิง
               2. น้ำมันเครื่องกึ่งสังเคราะห์ (Semi Synthetic) ผลิตจากน้ำมันหล่อลื่นธรรมดากับชนิดสังเคราะห์ ข้อดีของน้ำมันชนิดนี้คือมีคุณภาพดีกว่าน้ำมันเครื่องธรรมดาเพราะมีส่วนผสมของน้ำมันเครื่องสังเคราะห์อยู่บ้าง แต่กี่เปอร์เซนต์นั้นขึ้นอยู่แต่ละยี่ห้อที่ผลิตออกมา และข้อดีอีกข้อคือมีราคาถูกกว่าน้ำมันเครื่องสังเคราะห์
               3. น้ำมันเครื่องสังเคราะห์ (Fully Synthetic) ผลิตจากน้ำมันหล่อลื่นที่สังเคราะห์ จากน้ำมันปิโตรเลียม ข้อดีของน้ำมันเครื่องชนิดนี้มีดังนี้ 1. น้ำมันเครื่องสังเคราะห์จะมีโมเลกุลที่ลื่นกว่าจึงหล่อลื่นดีกว่าทำให้รู้สึกได้ว่าวิ่งดีกว่าและช่วยประหยัดน้ำมันเชื้อเพลิง 2. ฟิล์มน้ำมันมีความแข็งแรงกว่าจึงช่วยลดการสึกหรอของชิ้นส่วนที่เสียดสีกันได้ดีกว่า  โดยเฉพาะที่ความร้อนสู งๆ 3. ทนความร้อนและระบายความร้อนออกจากชิ้นส่วนที่เสียดสี กันได้ดีและเร็วกว่า 4. ต้านอ๊อกซิเดชั่นได้สูงกว่าทำให้เสื่อมช้ากว่าจึ่งลื่นและปกป้องชิ้นส่วนในเครื่องยนต์ได้ดีกว่าตลอดการใช้งานจนถึงระยะเปลี่ยนถ่าย 5. มีสารชะล้างสูงกว่าชิ้นส่วนเครื่องยนต์จึงสะอาด ลดคราบเขม่าและไม่ก่อให้เกิดตะกอนน้ำมันดำๆเมื่อใช้อย่างต่อเรื่องและมีการเปลี่ยนถ่ายตามระยะ 6. น้ำมันเครื่องสังเคราะห์มักจะมีสารช่วยรักษาซีลและยา งต่างๆให้นุ่มไม่แข็งแตกร้าวและกรอบง่าย ข้อเสียเปลี่ยนเป็น ไม่ควรใช้กับเครื่องยนต์เก่าที่สึกหรอหรือหลวม ซีลวาล์วหรือซีลต่างๆรั่ว เพราะจะทำให้สิ้นเปลืองน้ำมันเครื่องมาก(น้ำมันเครื่องหาย)
 


วันพฤหัสบดีที่ 10 กรกฎาคม พ.ศ. 2557

รอบรู้เรื่องยางรถยนต์

 หน้าที่ของยางรถยนต์
               ยางรถยนต์มีหน้าที่ต้องรับน้ำหนักรถและสัมภาระต่าง ๆ ยางเป็นตัวกลางถ่ายทอดพลังงานขับเคลื่อน และการหยุดรถลงสู่พื้นผิวถนน ลดแรงกระแทกและสั่นสะเทือนจากพื้นถนน(เพิ่มความนิ่มนวลในการโดยสาร) ทำให้รถเลี้ยวเปลี่ยนทิศทางได้ตามความต้องการ ยางรถยนต์เป็นเพียงส่วนเดียวของรถยนต์ที่สัมผัสพื้นถนนถือว่าเป็นสิ่งสำคัญที่สุด ในการป้องกันอุบัติเหตุ

ควรจะเปลี่ยนยางรถยนตร์เมื่อไหร่?
               เมื่อยางของคุณเริ่มเข้าข่ายสัญญานเตือน เหล่านี้ก็ควรต้องเริ่มมองหาศูนย์บริการยางรถยนต์คุณภาพ ใกล้ๆบ้านเพื่อเปลี่ยนยางครับ
               1.เปลี่ยนเมื่อยางเริ่มแข็งตัว จะรู้ได้อย่างไรว่ายางเริ่มแข็ง เวลาวิ่งยางจะเสียงดังครับ หรือลองเอาเล็บจิกลงไปบนเนื้อยางก็ได้เหมือนกัน
               2.เปลี่ยนเมื่อดอกยางเริ่มไม่มีลายดอกยางมองให้เห็นแล้วครับ วิธีสังเกตดูก็คือ ให้สังเกตุในร่องของดอกยางครับ มันจะมีขีดเล็กๆ อยู่ ถ้าดอกยางเรียบเสมอกับขีดเมื่อไหร่ ก็ได้เวลาเปลี่ยนยางในครั้งต่อไปแล้วครับ
               3.หากขับไปแล้วกระแทกหลุมอย่างแรง แล้วแก้มยางเกิดบวมปูดขึ้นมา แนะนำให้เปลี่ยนทันทีครับ
               4.หมั่นสลับยางทุกหมื่นโลนะครับ (แต่ถ้าสภาพยางยังดีอยู่ก็สามารถใช้ได้ต่อไปครับ)

การดูแลรักษายางรถยนต์
               1. ตรวจความดันลมยาง การเติมลมยางอ่อนกว่ามาตรฐานทำให้อายุยางสั้นลง บริเวณไหล่ยางจะเกิดความร้อนสูง และสึกหรอเร็วกว่าส่วนอื่น ซึ่งอาจทำให้เนื้อยางไหม้ และโครงสร้างยางแยกตัวออกจากกัน อันนำไปสู่การบวมล่อน และระเบิดของยาง นอกจากนี้อาจทำให้โครงยางบริเวณแก้มยางฉีกขาดหรือหักได้ และยังเป็นการสิ้นเปลืองน้ำมันอีกด้วย ส่วนการเติมลมยางมากเกินไปไม่เป็นผลดีเช่นกัน เนื่องจากพื้นที่สัมผัสของหน้ายางกับพื้นถนน ลดลง อาจทำให้เกิดการลื่นไถลได้ง่าย และโครงยางอาจ ระเบิดได้ง่ายเมื่อได้รับแรงกระแทก หรือถูกตำ เนื่องจากโครงยางเบ่งตัวเต็มที่เกิดการยืดหยุ่นตัวได้น้อยอายุยางก็จะลดน้อย ลง
               2.ดอกยางรถยนต์ เนื่องจากดอกยางมักจะสึกที่บริเวณตอนกลางของล้อมากกว่าส่วนอื่น และทำให้ความนิ่มในขณะขับขี่ลดลง และยิ่งบรรทุกของน้ำหนักมากเกินไปจะทำให้มีการบิดตัวบริเวณหน้ายางที่สัมผัสพื้นผิวถนนมาก ทำให้เกิดความร้อนได้ง่าย ส่งผลให้มีการสึกหรอของเนื้อยางเร็ว อายุการใช้งานของยางก็จะสั้นลง ขณะที่รถวิ่งด้วยความเร็วสูง จะมีแรงเสียดทานและความร้อนที่เกิดขึ้นตามมาด้วย ซึ่งจะมีผลต่อความต้านทานต่อการสึกหรอ ทำให้อายุของยางลดลงตามไปด้วยการเบรกและการออกตัว ในขณะที่รถยนต์วิ่งอยู่บนถนนจะเกิดแรงเฉื่อย ซึ่งมีค่าสูงกว่า ความเร็ว ดังนั้น เมื่อเบรกจนล้อหยุดหมุนแล้ว แรงเฉื่อยของตัวรถจะดันให้ล้อลื่นไถลไปกับพื้นถนน ทำให้ยางเกิดการสึกหรอ ซึ่งจะมากหรือน้อยขึ้นอยู่กับความเร็วและระยะในการเบรกเป็นสำคัญ ส่วนการออกตัวอย่างรุนแรง ทำให้ล้อหมุนฟรี หน้ายางจะเสียดสีกับพื้นถนนอย่างหนัก ทำให้ยางสึกหรอเร็วขึ้นสภาพ รถยนต์ เช่น ช่วงล่างและศูนย์ล้อ มีผลอย่างมากกับการสึกหรอ ที่รวดเร็ว หากระบบศูนย์ล้อผิดพลาดไปจากสเปกของรถ จะทำให้เกิดแรงเสียดทานและลื่นไถลที่หน้ายางมากกว่าปรกติสภาพ ผิวถนน ผิวถนนยิ่งราบเรียบมาก ยางก็จะยิ่งสึกหรอช้า ใช้งานได้นานกว่าการขับรถบนถนนที่ขรุขระ เพราะความต้านทานต่อการหมุนบนถนนเรียบมีน้อยกว่า ยางจึงเสียดสีกับผิวถนนเพื่อเคลื่อนที่ไปข้างหน้าด้วยแรง ที่น้อยกว่า นอกจากนี้ลักษณะเส้นทางก็มีผลเช่นกัน การขับขี่บนทางตรงจะเกิดการสึกหรอช้ากว่าการขับขึ้นเขา หรือขับบนถนนที่คดเคี้ยวสภาพอากาศ ยางรถยนต์มีส่วนผสมหลักเป็นยางธรรมชาติ จึงทนต่ออุณหภูมิสูงได้น้อยกว่ายางสังเคราะห์ ดังนั้น หากยางเกิดความร้อนมากขึ้นจากการใช้งาน ก็จะยิ่งส่งผลต่อการสึกหรอที่รวดเร็ว
                3.หมั่นตรวจสอบช่วงล่างตามระยะ ถ้ามีอะไหล่ช่วงล่างหลวมหรือเสียก็จะทำให้ยางสึกหรอเร็วอย่างผิดปกติได้








วันจันทร์ที่ 7 กรกฎาคม พ.ศ. 2557

ได้เวลาเจียรจานเบรกรถของคุณหรือยัง?

ผมเชื่อว่าทุกๆคนที่มีรถเป็นของตัวเองนั้น ต้องเคยตั้งคำถามเหล่านี้กับตนเองกันบ้างใช่หรือไม่ครับ ยกตัวอย่างคำถามเช่น จานเบรกคืออะไรเราควรจะเจียรจานเบรกเมื่อไร? อะไรคือปัจจัยทำให้จานเบรกเสื่อมสภาพไว? วันนี้เดียวเรามาทำเข้าใจเรื่องนี้เพิ่มเติมกันครับ

จานเบรกคืออะไร
               ด้วยเพราะเบรคเป็นเพียงเหล็กหล่อเดี่ยวจึงทำให้ความร้อนที่เกิดขึ้นในเวลาที่เหยียบเบรก เกิดการกระจายตัวและการระเหยของก๊าซได้ เพราะเหตุนี้จานเบรคจึงมีคุณสมบัติในการช่วยให้เบรกเย็นได้เร็วขึ้น และทำให้ก๊าซระหว่างจานกับผ้าเบรคระเหยได้ไวขึ้น  ปัจจุบันเทคโนโลยีการพัฒนาจานเบรกได้ก้าวหน้าไปอย่างรวดเร็วทำให้ปัจจุบันสามารถแบ่งจานเบรกได้ 4 ชนิดดังต่อไปนี้
               1.จานเบรคแบบธรรมดา
               2. จานเบรคเซาะร่อง       
               3. จานเบรกแบบมีร่องและการเซาะร่อง 
               4. จานเบรคแบบคู่ 

เราควรจะเจียรจานเบรกเมื่อไร?
               เมื่อจานเบรกผ่านการใช้งานไปได้ระยะหนึ่ง  ผิวหน้าของจานจะถูกเสียดสีด้วยผ้าเบรกจนเกิดความร้อนที่ผิวสัมผัสเป็นเวลานานๆเข้า ทำให้จานมีลักษณะที่เปลี่ยนไปในลักษณะต่าง ๆเมื่อโดนความเย็นทันที ซึ่งจะมีผลต่อระยะเวลาในการเปลี่ยนผ้าเบรก
               1.  จานเบรกมีร่องเป็นเส้น ๆ จะต้องเจียรจานออก  แต่หากเจียรแล้วความหนาของจานเบรกน้อยกว่าที่กำหนด  จะต้องเปลี่ยนจานใหม่
               2.  ผิวหน้าจานเบรกไม่สม่ำเสมอเป็นจ้ำ ๆ เมื่อเบรกจะรู้สึกสะท้านกรณีนี้ถ้าเป็นไม่มากสามารถเจียรจานแก้ไขได้ แต่ถ้ามีอาการมากจะต้องตรวจสอบที่หน้าแปลนดุมล้อของรถ หรืออาจต้องเปลี่ยนจานเบรกใหม่ทันที
               3.  จานเบรกเป็นสนิมกัดกร่อนอย่างแรง  ขึ้นอยู่กับความมากน้อยของสนิมที่เกิดขึ้นถ้าเป็นไม่มากสามารถเจียรจานแก้ไขได้ แต่ถ้าเป็นสนิมมากควรจะเปลี่ยนจานเบรกใหม่
               4.  จานเบรกร้อนจัดจนไหม้ หรือมีการเปลี่ยนสีเป็นสีฟ้าหรือน้ำเงิน  ถ้าเปลี่ยนสีเป็นสีฟ้าไม่เข้มมาก ปล่อยทิ้งไว้สักพักจะกลับสู่สภาพเดิมที่ใช้งานได้  แต่หากเปลี่ยนเป็นสีน้ำเงินเข้มจะต้องเปลี่ยนจานเบรกทันที

ความเรียบของผิวจานเบรกมีผลต่อประสิทธิภาพการเบรก
               จานเบรกและคาลิปเปอร์  เป็นอุปกรณ์ที่สำคัญมากในการหยุดรถ  ประสิทธิภาพของการเบรกที่ดีนอกจากจะขึ้นอยู่กับผ้าเบรกแล้ว  ยังขึ้นกับความสมบูรณ์ของชุดคาลิปเปอร์  และความเรียบของจานเบรกด้วย  เพื่อให้ผ้าเบรกและจานเบรกทำงานได้สมบูรณ์ที่สุด  ในการเปลี่ยนผ้าเบรกใหม่ทุกครั้งควรตรวจดูความเรียบของจานเบรกทุกครั้ง  หากผิวหน้าจานเบรกมีรอยขูดขีดมากผิดปกติ  ผู้ใช้รถควรปรับผิวหน้ารถให้เรียบร้อย  หากจานเบรกผิดเบี้ยวหรือแตกหัก  ควรเปลี่ยนจานเบรกใหม่ทันที

จุดที่ควรตรวจสอบเมื่อมีปัญหาเรื่องเสียง
เสียงดังในตอนเช้าหรือหลังจากล้างรถ
               สาเหตุ         เสียงดังที่มีลักษณะความถี่ต่ำ ๆ เช่น อืด ๆ เกิดจากการที่น้ำอยุ่บนผ้าเบรกหรือความชื้นที่เครือบอยู่บนผ้าเบรก  สิ่งเหล่าหนี้จะทำให้ผ้าเบรกและผ้าเบรกสัมผัสกันได้ไม่เต็มที่   อาจเกิดอาการเบรกหายและมีเสียงรบกวนได้
               วิธีแก้ไข       ขับรถและเหยียบเบรกซ้ำ ๆ  กัน  2 – 3 ครั้งเพื่อไล่ความชื้นให้น้ำแห้งแล้วอาการดังกล่าวจะหายไปเอง

จานเบรกสึก
               สาเหตุ          เมื่อจานเบรกมีอาการสึกหรอ  หรือพื้นผ้วไม่เรียบทุก ๆ ครั้งที่ผ้าเบรกสัมผัสกับจานเบรก  การเสียดสีผ้าเบรกและร่องการสึกหรอบนผ้าเบรก  จะก่อให้เกิดเสียงรบกวนได้  อีกทั้งพื้นที่สัมผัสของผ้าเบรก  จะก่อให้เกิดเสียงรบกวนได้  อีกทั้งพื้นที่สัมผัสของผ้าเบรก  และจานเบรกจะลดลงด้วย  ทำให้ประสิทธิภาพการเบรกลดลงเช่นกัน
               วิธีแก้ไข    ควรเจียรจานเบรกให้เรียบสม่ำเสมอ

ไม่มีแผ่นกันเสียง (ซิม)
               สาเหตุ          หากลืมใส่แผ่นกันเสียงด้านหลังของผ้าเบรก หรือ แผ่นกันเสียงชำรุดจะทำให้ผ้าเบรกหลวม  หรือเคลื่อนไหวได้ไม่ดี  ทำให้เกิดเสียงรบกวนได้เมื่อหยุดรถ
               วิธีแก้ไข        ควรใส่แผ่นกันเสียงและทาจาระบีทุกครั้ง  เมื่อเปลี่ยนผ้าเบรกใหม่
ผิวหน้าผ้าเบรกสึกไม่สม่ำเสมอ
               สาเหตุ          หากการติดตั้งถูกต้อง  ผ้าเบรกควรสึกเรียบสม่ำเสมอเป็นระนาบเดียวกัน  การสึกที่ไม่สม่ำเสมออาจเกิดจากการติดตั้งไม่ถูกต้อง  เกิดจากจานเบรกไม่เรียบ  หรือเกิดจากการติดตั้งไม่ถูกต้อง  เกิดจากจานเบรกไม่เรียบ  หรือเกิดจาก
คาลิปเปอร์เบรกทำงานไม่สมบูรณ์
               วิธีแก้ไข       เปลี่ยนผ้าเบรกใหม่  ตรวจสภาพจานเบรกและคาลิปเปอร์  โดยตรวจดูการเคลื่อนไหวของคาลิปเปอร์  หากเคลื่อนตัวไม่ดีควรทำความสะอาดและทาจาระบีให้เหมาะสม

สรุปข้อแนะนำทิ้งท้าย
               ถ้าจานเจียรยังดีอยู่ไม่เสียหายจนเสียรูปทรงไปจากเดิม ก็ยังไม่ต้องเปลี่ยนครับแค่เจียรจานก่อนก็ได้ แต่ถ้าดูแล้วเห็นว่าเสียหายมากเกินที่จะเจียรใหม่ได้แล้ว ก็ขอแนะนำให้เปลี่ยนใหม่ดีกว่าครับ



























วันอาทิตย์ที่ 6 กรกฎาคม พ.ศ. 2557

ความสำคัญของผ้าเบรก ใครว่าไม่สำคัญ!!!

        เรื่องสำคัญในการขับรถที่ผู้ขับรถทุกคนไม่ควรจะมองข้าม ถ้าเพื่อนคู่ใจสี่ล้อของคุณเริ่มที่จะอายุมากแล้วนั้นก็คือระบบเบรกในรถยนตร์นั้นเองครับ เพราะเรื่องระบบเบรกในรถยนต์นั้นเป็นเรื่องี่สำคัญที่สุดต่อชีวิตคนขับและเพื่อนร่วมเดินทางนั้นเองครับ  วันนี้เรามาลองทำความรู้จักเกี่ยวกับเรื่องของความสำคัญในการเปลี่ยนผ้าเบรกเมื่อครบกำหนดการเปลี่ยนกันดีกว่าครับ

ความรู้ทั่วไปเกี่ยวผ้าดิส์กเบรก
               ปัจจุบันผ้าดิส์กเบรกที่นิยมขายและใช้กันในท้องตลาดทั่วไปนั้น สามารถแบ่งได้2กลุ่มหลักๆดังนี้
               1. กลุ่มผ้าดิสก์เบรกราคาถูก ที่มีส่วนผสมของสาร Asbestos หรือที่เรียกกันว่า "ผ้าใบ" จะมีแร่ใยหินเป็นส่วนประกอบ คุณสมบัติในการเบรกจะใช้ได้ดี ในความเร็วต่ำ ๆ หรือระยะต้น ๆ แต่เมื่อความเร็วสูงขึ้น ประสิทธิภาพในการเบรกจะลดลงอย่างรวดเร็ว และที่สำคัญ อายุการใช้งานจะสั้น ผ้าดิสก์เบรกหมดเร็ว นอกจากนั้นแร่ใยหินมีผลต่อสุขภาพ ในปัจจุบันจึงมีการใช้น้อยลง
              2. กลุ่มที่ไม่มีส่วนผสมของสาร Asbestor หรือกลุ่ม Non-organic แบ่งออกเป็น 2 ชนิด คือ
                  2.1 ชนิดที่มีส่วนผสมส่วนใหญ่เป็นโลหะ (Semi-metallic) จะเป็นผ้าดิสก์เบรกของผู้ผลิตจากยุโรปหรืออเมริกา เช่น Bendix, Mintex
                  2.2 ชนิดที่มีส่วนผสมของสารอนินทรีย์อื่น ๆ จะเป็นผ้าดิสก์เบรกของผู้ผลิตจากญี่ปุ่นเช่น Akebono โดยในกลุ่มนี้จะมีราคาที่สูงกว่าผ้าเบรกที่ผสมสาร Asbestos แต่ในเรื่องคุณภาพสัมประสิทธิ์ของความฝืด ความทนทานต่อการสึกหรอ นั้นมีสูงกว่า

ลักษณะของอาการผ้าเบรกหมด สามารถสังเกตได้ดังนี้
               1. มีอาการเบรกต่ำ คือ เมื่อเหยียบเบรกแล้วรู้สึกว่าต่ำกว่าปกติ(เหยียบลงไปลึกกว่าเดิม) หรือถ้าเป็นเบรกหลัง (ในบางรุ่น) จะรู้สึกว่าต้องดึงเบรกมือสูงกว่าปกติ นั่นแสดงว่าผ้าเบรกสึกหรอมากแล้ว
               2. มีไฟเตือนโชว์ (ไฟเบรกมือ) ที่ตัวเรือนไมล์ ติดค้างเป็นสีแดง เกิดจากการสึกหรอของผ้าเบรก ที่จับอยู่กับจานเบรก โดยสึกหรอจนบางลงทำให้น้ำมันเบรกในกระปุกต่ำกว่าขีด MIN หน้าคอลแทคของสวิตช์ไฟในกระปุกน้ำมันไม่ต่อกันไฟจึงโชว์ค้าง
               3. มีเสียงดังเหมือนเหล็กสีกัน ขณะเหยียบเบรก นั่นคือผ้าเบรกได้บางจนถึงตัวเตือนแล้ว (ผ้าเบรกฝั่งที่อยู่ติดกับลูกสูบเบรกจะมีแผ่นเหล็กทำหน้าที่เป็นตัวเตือน) ซึ่งถ้าผ้าเบรกบางน้อยกว่า 1.6 มิลลิเมตร แผ่นเหล็กตัวเตือนนี้จึงจะสีกับจานเบรก ทำให้ต้องรีบเปลี่ยนผ้าเบรกทันที

               คำแนะนำจากผู้เชี่ยวชาญหลาย ๆ ท่านนั้นมักจะแนะนำการตรวจเช็กผ้าเบรกคือทุก ๆ 3 เดือนหรือระยะทาง 5,000 กม. ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับตัวแปรหลาย ๆ อย่าง สำหรับระบบดิสก์เบรกนั้นผ้าเบรกจะหมดเร็วกว่าระบบดรัมเบรกประมาณ 2 เท่าหรือว่ากันง่าย ๆ คือเปลี่ยนผ้าดิสก์เบรก 2 ครั้ง จึงเปลี่ยนผ้าดรัมเบรก 1 ครั้ง ในบางรายอาจต้องเจียรจานเบรกเพิ่มขึ้นอีกด้วยหากช่างตรวจพบว่าตัวจานเบรก สึกเป็นร่อง เพื่อป้องกันอาการเสียงดังขณะเบรกตามมา
          *สิ่งที่ควรปฏิบัติหลังจากเปลี่ยนผ้าเบรกแล้ว ไม่ควรขับรถยนต์ด้วยความเร็วสูง หรือขับตามคันหน้าอย่างกระชั้นชิด เพราะจะเบรกไม่ดีเท่าที่ควร หรืออาจเบรกไม่ค่อยอยู่เนื่องจากผ้าเบรกต้องมีการปรับหน้าสัมผัสให้เข้ากับจานเบรกเสียก่อน ควรใช้เบรกปกติ ไม่เบรกอย่างรุนแรง เพื่อให้เนื้อผ้าเบรกได้ปรับตัวได้อย่างช้า ๆ ผ้าเบรกจึงจะมีประสิทธิภาพสูงสุดตลอดอายุการใช้งาน และลดปัญหาเรื่องเสียงดังอีกด้วย ทั้งหมดนี้อาจจะดูยุ่งยากเสียหน่อยแต่คุ้มค่ากับความปลอดภัยแน่นอนครับ


วันพุธที่ 2 กรกฎาคม พ.ศ. 2557

ว่าด้วยเรื่องของเพลากลางในรถยนต์คืออะไร

    วันนี้ผมจะพูดคุยถึงเรื่องเพลากลางในรถยนต์ทุกชนิด(รถนั่งและรถบรรทุกทั่วไป)กันครับ เพราะปัจจุบันนี้เพื่อนยากสี่ล้อของคุณที่เคยร่วมทุกข์ ร่วมสุขแบบชนิดที่ว่าขึ้นเขาลงห้วยไปทุกที่กับคุณนั้นมาเป็นปีๆนั้น ถ้าเป็นอย่างคนก็ทำงานคุ้มค่ากับเงินเดือนแล้ว บางครั้งก็น่าจะนำเขาไปหาหมอตรวจเช็คสุขภาพบ้างกันดีกว่าครับ   เพราะถ้าปล่อยให้อาการหนักข้อเข้าเวลารักษาจะรักษายากและหมดเยอะกว่าระยะเริ่มแรกนั้นเอง

เพลากลางในรถยนต์มีกี่ประเภท
     โดยทั่วไปนั้นเพลากลางของรถนั่งและรถบรรทุกนั้น มักมีโครงสร้างหลักเหมือนกันคือมีข้ออ่อนและข้อเลื่อนที่เลื่อนได้ เพื่อใช้ทำหน้าที่ถ่วงสมดุลของรถเพื่อป้องกันการหมุนสั่นระหว่างส่งด้วยความเร็วในระดับต่างๆ  เช่นถ้าเป็นระยะส่งกำลังสั้นๆในรถยนต์นั่งขนาดเล็กก็จะใช้เพลากลางแบบท่อนเดียว แต่ถ้าระยะกำลังที่ใช้มีความต่างกันมากก็จะหันมาใช้แบบในสองท่อนในรถยนต์ที่สามารถใช้ระยะกำลังได้หลายระดับนั้นเองครับ
        1.เพลากลางแบบท่อนเดียว
      เพลากลางแบบท่อนเดียวแบบนี้ ตัวเพลากลางจะมีท่อนเดียว โดยทางหนึ่งจะยึดอยู่กับเพลาส่งกำลังของเกียร์  และอีกด้านหนึ่ง จะยึดติดกับเพลาเฟืองเดือยหมู เพื่อใช้ในการส่งกำลังช่วงสั้นๆเท่านั้น

        2.เพลากลางแบบ 2 ท่อน
        คือเพลากลางที่มีการประกอบกันแบบสองท่อน โดนท่อนแรกจะทำหน้าที่รับกำลังจากเพลาส่งกำลังของเกีนร์  ส่วนเพลาท่อนที่สองจะทำหน้าที่รับกำลังจากเพลาตัวแรกและส่งกำลังไปยังเพลาเฟืองท้ายและตรงกลางของรถที่เพลากลางมาต่อกัน  โดยมีตุ๊กตาเพลากลางที่อยู่ภายในเป็นชุดลูกปืน (Center Bearing) โดยจะถูกยึดติดไว้กับโครงรถ  เพื่อป้องกันเต้นและการสะบัดของเพลากลางนั้นเองครับ

สัญญานเตือนว่าได้เวลาเปลี่ยนเพลากลางแล้วหรือยัง?
        ถ้าเมื่อไหร่ที่คุณเอารถคู่ใจเอาไปวิ่งโฉบเฉียวบนท้องถนน แล้วรู้สึกว่าเวลาวิ่งๆอยู่แล้วรู้สึกว่าเกิดอาการแกว่งๆบริเวณใต้ท้องรถ(ตรงเพลานั้นแหละครับ)  พอยิ่งวิ่งเร็วขึ้นยิ่งมีอาการสั่นสะท้านขึ้นมาถึงห้องโดยสารแล้วก็  รีบมองหาอู่ที่ใกล้ที่สุดแถวนั้นให้เขาตรวจอย่างด่วนเลยครับ เพราะถ้ายังฝืนขับต่อไปนานเข้าทั้งยอยหิ้วและกากบาทก็จะพังไปด้วยครับ อาจทำให้ต้องเปลี่ยนใหม่ทั้งชุด(ย่อมเสียเงินมากกว่าเดิมนั้นเอง)









วันอังคารที่ 1 กรกฎาคม พ.ศ. 2557

แนะนำร้านธนายนตร์ ออโต่บอย (แถวแยกสวนสมเด็จย่า)

สวัสดีครับวันนี้ผมจะมาแนะนำศูนย์บริการซ่อมช่วงล่างรถยนต์ ชื่อว่า 'ธนายนต์ ออโต้บอย'ครับ โดยตั้งอยู่ตรงหัวมุมติดไฟแดงตรงแยกสวนสมเด็จย่า (หรือบนถนนติวานนท์ที่จะออกไปปทุมฯนนั้นเองครับ) ส่วนใครที่หลังจากอ่านบล๊อกนี้แล้วสนใจอยากมารับบริการกับเรา แต่กลัวว่าจะมาไม่ถูกนั้นก็สามารถโทรติดต่อสอบถามเรื่องการเดินทางมาที่ได้ที่เบอร์โทร.02-961-7500, 02-961-7600,084-1155-666,086-355-3137,086-367-7662  อ้อ!ลืมบอกจุดสังเกตของอีกอย่างครับ ศูนย์บริการของเราจะมีร้านสีอยู่ติดกันกับอู่ครับ
               โดยศูนย์บริการธนายนต์ ออโต้บอยของเรานั้นเรียกได้ว่ามีบริการครบทุกวงจรครับ ยกตัวอย่างงานบริการของเราที่จะเสนอต่อลูกค้าทุกท่านนั้นมีต่อไปนี้ครับ
               - รับแก้ปัญหารถสั่นสะท้านทั้งคัน แม้จะตั้งศูนย์ถ่วงล้อก็ไม่หายท่านไม่ต้องตกใจกับปัญหาที่เกิดขึ้น จากเพลากลางข้อเหวี่ยงเรามีผู้เชี่ยวชาญทางด้านนี้โดยเฉพาะพร้อมให้คำปรึกษา และบริการท่างอย่างเป็นกันเอง 
               - บริการ แก้ไขเพลากลางรถยนต์ทุกชนิด ถ่วงเพลากลาง ข้อเหวี่ยง มูเลย์ ฟลายวีล ใบพัด 
               - ตั้งศูนย์ถ่วงล้อ ด้วยระบบคอมพิวเตอร์จอสี 
               - ซ่อมช่วงล่าง
               - ดัดคานซ่อมเพลาขับเคลื่อน ล้อหน้า
               - ซ่อมโช้คอัพ
               - ทำเบรคคลัทช์
               - รับอัดผ้าเบรก
               - เจียร์จานเบรก 
               - ทำแหนบรถยนต์
               - ซ่อมเครื่องยนต์ญี่ปุ่นยุโรป
               - ซ่อมหัวฉีดเทอร์โบ และเกียร์ อัตโนมัติ 
               - รับ ยกสูงหรือโหลดเตี้ยกระบะ 4WD
               - และอื่นๆ
               นอกจากนี้ทางศูนย์บริการของเรายังมีสินค้าเกรดเอมาจำหน่าย เผื่อลูกค้าท่านไหนอยากได้สินค้าเกรดเอ ราคาถูกไปดูแลรถสุดที่รักของท่านเอง โดยสินค้าที่เราเป็นตัวแทนจำหน่ายในร้านมีดังนี้ ยาง BRIDGESTONE น้ำมันเครื่อง CASTROL ช่วงล่างTRW โช๊คอัพ MONROE,KYB ระบบเบรค BENDIX, LUCAS แบตเตอรี่ GS,YOKOHAMA ถ่วงเพลากลาง เป็นต้น


ธนายนต์ ออโต้บอย 72/9 ซอยติวานนท์-ปากเกร็ด 35 ถ.ติวานนท์ แยกสวนสมเด็จ อ.ปากเกร็ด จ.นนทบุรี เปิด วันจันทร์ถึงวันเสาร์ เวลา 8:30 - 17:30