ทุกคนเคยสงสัยกันไหมว่ารถยนต์ที่เราๆใช้กันอยู่ทุกวันนั้น
นอกจากใช้น้ำมันเป็นตัวขับเคลื่อนรถยนต์กันแล้วนั้น
แล้วรถที่เราใช้กันนั้นมันดึงไฟฟ้าจากไหนมาใช้กับแอร์ หรือวิทยุภายในห้องเครื่องผู้โดยสารกันแน่
ว่าแล้ววันนี้ผมจะมาเฉลยคำตอบนี้ให้แก่ทุกคนที่เคยสงสัยในคำถามนี้กันครับ
แบตเตอรี่รถยนต์ทำหน้าที่
ป้อนกระแสไฟฟ้าให้อุปกรณ์ต่างๆของเครื่องยนต์เพื่อให้ทำงานได้
เช่นการสตาร์ของมอเตอร์โดยใช้ระบบการจุดระเบิดในขณะที่สตาร์รถยนต์นั้นเอง
นตอกจากนี้ยังทำหน้าที่ป้อนพลังงานให้กับอุปกรณ์อำนวยความสะดวกหลายๆอย่างด้วย
เช่นระบบไฟส่องสว่าง หรือวิทยุในรถยนต์เป็นต้น
สรุปแบตเตอรรี่รถยนต์นั้นไม่ใช่แหล่งผลิตพลังงานไฟฟ้า
แต่เป็นตัวเก็บไฟสำรองเพื่อนำไปจ่ายให้แก่อุปกรณ์ต่างๆของเครื่องยนต์นั้นเอง
แบตเตอรี่รถยนต์สามารถแบ่งได้
2 ชนิดคือ
1.แบบเปียก; เป็นที่นิยมใช้เป็นอย่างจำนวนมาก โดยสามารถแบ่งย่อยออกได้อีก 2
แบบคือแบบที่ต้องเติมน้ำกลั่นและต้องดูแลบ่อยๆอย่างน้อยเดือนละครั้ง
หรืออีกแบบคือไม่ต้องดูแลบ่อย (Maintenance Free) ใช้น้ำกลั่นน้อยโดยทั้ง
2 แบบจะมีฝาเปิด-ปิดสำหรับเติมน้ำกลั่น
โดยในแบบแรกนั้นจะมีอายุการใช้งานโดยประมาณปีครึ่งหรือสองปีแต่ไม่ควรเกิน 3 ปี
(ขึ้นอยู่กับสภาพการใช้งานและดูและรักษา)
2.แบบแห้ง;ไม่ต้องเติมน้ำกลั่น
มีความทนทานมีอายุการใช้งานที่ยาวกว่าและมีราคาแพงกว่า
แบตฯชนิดนี้จะไม่มีฝาเปิด-ปิดสำหรับใช้ในการเติมน้ำกลั่น
หรือไม่ก็มักจะถูกซีลทับฝามาเลย
แต่จะมีตาแมวไว้สำหรับไว้คอยตรวจเช็คระดับน้ำกรดและไฟชาร์จ
การเปลี่ยนแบตเตอรี่รถยนต์
- ถ้ามีการการติดตั้งอุปกรณ์อะไรเพิ่มเติม
เช่นระบบเครื่องเสียง หรืออุปกรณ์อำนวยอื่นๆก็ควรจะเพิ่มขนาดของแอมป์ให้สูงขึ้นด้วย
แต่ต้องอย่าลืมคำนึงเรื่องที่ว่า”แบดเตอรี่ที่มีขนาดของแอมป์สูงขึ้นมักจะมีขนาดของแบตฯใหญ่ขึ้นด้วย”
ดังนั้นอย่าลืมดูเรื่องของฐานแบตฯเดิมของรถตนว่าสามารถรองรับแบตฯอันใหม่ได้หรือไม่
คำเตือน;เวลาเปลี่ยนแบตเตอรี่นั้นไม่ควรจะลดขนาดของแอมป์ลงโดยเด็ดขาด
แต่สามารถเลือกแบตเตอรี่ให้มีขนาดแอมป์สูงขึ้นได้ประมาณ
10-30 แอมป์
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น